ที่มาของขวดแก้ว

    รูปแบบการผลิตขวดแก้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันบ่อยๆตามสถานที่ต่างๆ หรือตามห้าง หรือร้านขายแก้วทั่วๆไป ถูกหรือแพง อยู่ที่ความสวย ความหรูของแก้วนั้นๆ หรือถ้าใครเคยดูหนัง18+แนวแปลกๆก็มีการใช้ขวดแก้วสอดใส่ด้วย รสนิยมแบบนี้คนที่ชอบหนัง18+แนวแปลกก็อาจจะถูกใจ แต่ถ้าใครที่เปิดหนัง18+แล้วเจอกับการเอาขวดแก้วเสียบเข้าไปในช่องคลอดก็คงจะทำให้กลัวหนัง18+แนวนี้ไปเลย โดยปกติของแก้วซึ่งเป็นวัสดุที่เกิดจากการหลอมละลายในส่วนผสมของแร่ธาตุและสารประกอบต่างๆและทำอุณหภูมิให้เย็นลงโดยไม่เกิดการตกผลึกวัตถุดิบที่ใช้ผลิตขวดแก้วโดยหลักๆแล้วการผลิตขวดแก้วมีวัตถุดิบอันประกอบไปด้วยวัตถุดิบหลักและวัตถุดิบรอง วัตถุดิบหลักประกอบด้วยทรายแก้วและเศษแก้ว 20% หรือมากกว่า ของวัตถุดิบหลักในการผลิตคือทรายแก้วชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของซิลิกาเป็นส่วนประกอบกว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ใช้ทรายก่อสร้าง แต่ต้องเป็นทรายที่ใช้สำหรับ การผลิตแก้วโดยตรงและมีความละเอียดเท่านั้น เพราะฉะนั้นที่เรามักได้ยินว่าแก้วผลิตจากทราย นั่นก็คือทรายแก้วนี้แหละ โดยใช้แก้วเมื่อถูกความร้อนหลอมไม่ละลายจะกลายสภาพเป็นโครงสร้างหลักเลยของเนื้อแก้ว แหล่งสำคัญของทรายแก้วปัจจุบันจะมีอยู่ที่จังหวัดระยอง ชุมพร ทรายแก้วที่นำมาใช้จะแบ่งชนิดการใช้งานเป็นไรแก้วขาวซึ่งมีส่วนผสมของเหล็กออกไซด์ในปริมาณที่น้อย เหมาะจะใช้กับการผลิตแก้วหรือสีชา อย่างนี้เหล็กออกไซด์จะสูงมากกว่า จึงเหมาะที่จะนำไปผลิตแก้วที่มีสีผึ้งสีชาหรือสีเขียวเป็นต้นเศษแก้ว ของวัตถุดิบ 80 เปอร์เซ็นต์ของวัตถุดิบหลักของการผลิตคือเศษแก้ว เศษแก้วได้มาจากการเปลี่ยนวัสดุหรือบรรจุภัณฑ์ แก้วจากโรงงานแยกเศษแก้วหรือโรงแยกขยะโดยนำมาบดละเอียดและคัดแยกสิ่งปนเปื้อนโดยมีการคัดแยกออกเป็นสี สีคือแก้วใส แก้วสีเขียว แก้วสีชา วัตถุดิบจะประกอบไปด้วยสารประกอบอย่างอื่นอีกเล็กน้อยเช่นโซเดียมซัลเฟตเพื่อไล่ฟองก๊าซและผงถ่านเพื่อเร่งปฏิกิริยาในการหลอมโซดา  หินปูน หินฟันม้าโดโลไมต์และส่วนประกอบอื่นและชนิดของขวดแก้ว

     กระบวนการผลิตขวดแก้วแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอนสำคัญดังนี้ 

1 การเตรียมวัตถุดิบเป็นขั้นตอนคัดแยกวัตถุดิบในการผลิต 

2 การชั่งตวงวัตถุดิบวัตถุดิบทุกชนิดนั้นมีสูตรส่วนผสมทางกระบวนการที่แตกต่างกันตามแต่แก้วที่จะผลิตในแต่ละสี ซึ่งจะนำมาชั่งน้ำหนักให้ได้ค่าตามที่กำหนดไว้ในแต่ละส่วนผสมของแต่ละสี 

3 การผสมวัตถุดิบวัตถุดิบทุกชนิดจะถูกนำมาคลุกเคล้าเข้ากันเพื่อเตรียมส่งไปยังเตาหลอมซึ่งใช้ความร้อนในการหลอมแก้วที่อุณหภูมิในเตาหลอมประมาณ 1500 องศาเซลเซียส แก๊สที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาการหลอมและระเหยออกไปจากผิวแก้วซึ่งจะทำให้น้ำแก้วมีความพร้อมที่จะทำการขึ้นรูปได้ดี.

Leave a Reply

Your email address will not be published.